บทสัมภาษณ์นักพัฒนากล้อง - RF Lens World - Canon Thailand

    RF70-200mm f/2.8L IS USM/RF70-200mm f/4L IS USM บทสัมภาษณ์นักพัฒนากล้อง

    RF70-200mm F2.8 L IS USMRF70-200mm F4 L IS USM Developer Interview_1170x460

    (ซ้าย) ผู้ออกแบบระบบไฟฟ้า: Taiki Honma
    (ขวา) ผู้ออกแบบระบบกลไก: Kunihiko Sasaki

    กระบวนการลดขนาด

    ความพยายามของ Canon ในการพัฒนาเลนส์เหล่านี้เริ่มต้นด้วยการเลือกการออกแบบออพติคอลที่เหมาะสมที่สุด ระบบออพติคอลของเลนส์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ “เลนส์ความยาวคงที่” และ “เลนส์ที่เปลี่ยนความยาวได้” ซึ่งเลนส์ที่เปลี่ยนความยาวได้จะทำให้ความยาวโดยรวมของเลนส์เปลี่ยนไปขณะจับโฟกัส การออกแบบนี้มีข้อดีคือทำให้ขนาดของเลนส์เล็กลง เนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติระยะแบ็คโฟกัสสั้นอันเป็นเอกลักษณ์ของกล้องมิเรอร์เลสได้ แต่ในทางกลับกัน การออกแบบนี้จะทำให้เลนส์มีความยืดหยุ่นน้อยลงและใช้งานยากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปเลนส์ยุค EF

    แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหานี้ แต่ Canon ก็คิดว่าผู้ใช้อาจยอมเสียประโยชน์ด้านการใช้งานไปบ้างในระดับหนึ่งเพื่อแลกกับคุณภาพที่ดีขึ้นและความสามารถในการถ่ายภาพที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เราจึงหวังว่าข้อดีในส่วนนี้จะทำให้ลูกค้าปัจจุบันของ Canon ยอมรับระบบกล้อง EOS R ใหม่

    รุ่น F4 และ F2.8

    ความจริงแล้วเราตั้งใจว่าจะใช้การออกแบบที่มีความยาวคงที่กับเลนส์ F4 เนื่องจากจะทำให้แตกต่างจากการออกแบบของเลนส์ F2.8 และสามารถใช้กับ อุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ได้ด้วย แต่จากนั้นไม่นาน เราก็ตระหนักได้ว่าการออกแบบนี้จะทำให้เลนส์ F4 ใหญ่เกินไปสำหรับผู้ใช้ส่วนมาก เนื่องจากเลนส์ F4 มีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถออกแบบให้มีขนาดเล็กกว่าเลนส์ F2.8 ได้ เราจึงเลือกใช้ประโยชน์ให้เต็มที่จากคุณสมบัตินี้ โดยการใช้โครงสร้างออพติคอลแบบเดียวกับเลนส์ F2.8 ในเลนส์ F4 แล้วทำให้ขนาดของเลนส์เล็กลงมากที่สุด

    ไม่รองรับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์

    การนำการออกแบบใหม่มาใช้กับเลนส์ซีรีย์ RF เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก เราต้องการให้ผู้ใช้รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นศักยภาพของระบบ EOS R ในอนาคต แต่เราก็ทราบด้วยว่าผู้ใช้ปัจจุบันอาจต้องการเลนส์ที่เข้ากันได้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ของตนเอง แต่ในขณะที่เราพยายามจำลองการออกแบบเลนส์ใหม่ที่สามารถรองรับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ได้ เรากลับพบว่าความยาวโดยรวมของเลนส์ไม่ได้ลดลงมากนักที่ระยะมุมกว้าง ดังนั้น เลนส์จึงไม่ได้มีขนาดเล็กกะทัดรัดอย่างที่เราคาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเลนส์ในยุค EF

    ในขณะที่เลนส์ EF70-200mm f/2.8L IS III USM ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างดี ผู้ใช้บางรายกลับรู้สึกว่าเลนส์มีขนาดใหญ่เกินไป เพื่อให้ระบบเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ขณะออกแบบเลนส์ RF70-200mm f/2.8L IS USM เราจึงทำให้เลนส์นี้ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่การตัดสินใจที่ง่ายเลย แต่ทางเลือกนี้ทำให้เราสามารถลดความยาวโดยรวมของเลนส์ได้มากถึงประมาณ 25% เมื่อเทียบกับเลนส์ EF

    เมื่อได้เห็นต้นแบบของเลนส์ F2.8 เป็นครั้งแรก ผมก็รู้สึกทึ่งในขนาดที่เล็กมากของเลนส์นี้ ส่วนเลนส์ F4 ก็น่าประทับใจไม่ต่างกัน เพราะเลนส์เล็กลงจนมีขนาดเกือบเท่ากับเลนส์ซูม F4 มาตรฐาน

    แรงบิดที่ต้องใช้ในการปรับความยาวโดยรวมของเลนส์ซูมจะมากกว่า เนื่องจากในโครงสร้างแบบนี้ ชิ้นเลนส์จะต้องเคลื่อนที่เข้าออก ซึ่งจะทำให้หมุนวงแหวนการซูมได้ยากขึ้น เราใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทำให้วงแหวนการซูมมีน้ำหนักเบาและหมุนได้อย่างง่ายดาย กล่าวโดยสรุปคือ ขณะออกแบบเลนส์เหล่านี้ เราต้องจัดการกับปัญหายากๆ มากมายในด้านการลดขนาดและความเข้ากันได้กับอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์

    น้ำหนักที่ลดลง

    โดยปกติแล้ว เลนส์จำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา แต่ผมเชื่อว่าการมีสมดุลน้ำหนักที่ดีระหว่างเลนส์กับตัวกล้องก็สำคัญเช่นกัน ในขณะที่พยายามทำให้เลนส์ RF มีขนาดเล็กลง Canon ก็ทำให้กล้อง EOS R เล็กลงและเบาลงด้วย

    เราพยายามคำนึงถึงผลกระทบต่อความสมดุลและขนาดโดยรวมเมื่อติดตั้งเลนส์ลงไปบนกล้องบางรุ่นอย่าง EOS R5 และ R6 ผมคิดว่าสมดุลนี้จะช่วยให้ช่างภาพที่ต้องถือกล้องไปมาเป็นเวลาหลายชั่วโมงในการถ่ายภาพแต่ละครั้งทำงานได้ง่ายขึ้นมาก และผมยินดีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้ระบบ EOS ใหม่เสมอ

    การออกแบบออพติคอล

    เลนส์ F2.8 และ F4 ใช้เทคโนโลยีทั่วไปแบบเดียวกัน ผมอยากจะพูดถึงรายละเอียดการออกแบบออพติคอลของเลนส์เหล่านี้เพิ่มเติมสักเล็กน้อย ในอดีต เลนส์ซูมในช่วง 70-200 มม. จะใช้การออกแบบที่มีความยาวคงที่ แต่สำหรับเลนส์ในซีรีย์ RF Canon เลือกใช้ระบบออพติคอลแบบใหม่ที่ใช้วิธีการที่เรียกว่า “การซูมหลายกลุ่ม” ซึ่งเลนส์แต่ละกลุ่มจะมีฟังก์ชั่นที่ไม่ถูกจำกัดโดยบทบาทเดิมในการเปลี่ยนกำลังขยาย จับโฟกัส และแก้ไขความคลาด

    เลนส์นี้เป็นรุ่นแรกที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนในการควบคุมกลุ่มเลนส์ลอยตัว กลุ่มเลนส์ลอยตัวคือกลุ่มของชิ้นเลนส์ที่ใช้ในการแก้ไขความคลาดเป็นหลัก เราต้องการปรับปรุงประสิทธิภาพพื้นฐานของเลนส์โดยการควบคุมกลุ่มเลนส์ลอยตัวด้วยมอเตอร์ เพื่อให้เลนส์สามารถถ่ายภาพได้สวยงามและเกิดความคลาดน้อยที่สุดไม่ว่าจะใช้ตำแหน่งการซูมหรือระยะโฟกัสเท่าใด

    และการใช้ระบบลอยตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์นี้ยังช่วยให้ระยะโฟกัสใกล้สุดสั้นลงด้วย จาก 1.2 ม. ในเลนส์ EF f/2.8 เหลือเพียง 0.7 ม. ในเลนส์ RF f/2.8 เราสามารถออกแบบเลนส์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใกล้ตัวแบบมากขึ้นที่ระยะมุมกว้างได้ แต่ผู้ใช้ก็ต้องการเข้าใกล้ตัวแบบที่ระยะเทเลโฟโต้ด้วยเช่นกัน!

    ด้วยเหตุนี้ เราจึงลดระยะโฟกัสใกล้สุดของเลนส์ f/4 ให้เหลือเพียง 60 ซม. ผมคิดว่ามันน่าตื่นเต้นดีที่จะได้ใช้เลนส์ 70-200 มม. ที่มีขนาดเล็กลงนี้ในการถ่ายภาพตัวแบบที่อยู่ใกล้พอจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสได้

    ประสิทธิภาพ AF

    เราประสบปัญหาหลายอย่างในการพัฒนาระบบลอยตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น หากการปรับตำแหน่งมีความล่าช้าเนื่องจากการควบคุมของมอเตอร์ อาจทำให้เกิดความคลาดที่ชัดเจนมากและโฟกัสที่ไม่แม่นยำ เราใช้หลายวิธีในการปรับเปลี่ยนระบบควบคุมเพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้น แต่ก็ทำให้สำเร็จได้ยากมากในครั้งแรก

    ความจริงแล้ว เราพบปัญหาหลายอย่างขณะนำเลนส์ต้นแบบชิ้นแรกออกไปทดสอบการใช้งานในภาคสนาม กล้องจับโฟกัสได้ยากมาก และหลังจากพยายามแก้ไขและประชุมกันจนดึกมานับครั้งไม่ถ้วน เราก็สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเลนส์จนถ่ายภาพที่ทำให้เรารู้สึกพอใจได้ในที่สุด

    การออกแบบระบบควบคุมที่สามารถปรับกลุ่มเลนส์โฟกัสให้จับโฟกัสที่ตัวแบบและควบคุมกลุ่มเลนส์ลอยตัวไปพร้อมกันเป็นเรื่องที่ยากมาก

    ระบบ AF ที่ดีต้องสามารถปรับเลนส์ของกล้องได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้โฟกัสที่ตัวแบบได้ภายในเสี้ยววินาที แต่สำหรับการออกแบบเลนส์ใหม่นี้ จะต้องควบคุมตำแหน่งของกลุ่มเลนส์ที่อยู่แยกกัน 2 กลุ่มไปพร้อมกันและใช้ความแม่นยำในระดับไมครอน ระบบควบคุมแบบใหม่ของ Canon ไม่เพียงแต่คำนวณตำแหน่งหยุดสุดท้ายได้อย่างแม่นยำเท่านั้น แต่ยังปรับและชดเชยตำแหน่งของเลนส์ทั้งสองกลุ่มในระดับไมครอนได้ทุกครั้งที่มีการปรับโฟกัสเพื่อไม่ให้ตำแหน่งโฟกัสที่สมบูรณ์แบบเกิดการคลาดเคลื่อน

    หากตำแหน่งโฟกัสไม่อยู่ที่จุดนี้เสมอ จะเกิดความคลาดในกระบวนการโฟกัส และตัวแบบที่กำลังเคลื่อนที่จะไม่อยู่ในโฟกัส เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากและทำการทดสอบเพื่อลองผิดลองถูกซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง จึงผลิตเลนส์ที่สามารถจับโฟกัสได้อย่างสมบูรณ์แบบบนตัวแบบที่มีความเร็วสูงได้ในที่สุด

    ผลลัพธ์ที่ได้คือสิ่งที่ช่างภาพต่างรอคอยกันมานาน นั่นคือกล้องที่สามารถโฟกัสบนตัวแบบที่กำลังเคลื่อนที่ได้ และถ่ายภาพออกมาโดยมีคุณภาพของภาพในระดับเดียวกับตัวแบบที่อยู่นิ่ง

    ความน่าเชื่อถือ

    ดังที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้วว่า เราเลือกใช้เลนส์ซูมชนิดที่เปลี่ยนความยาวโดยรวมขณะปรับโฟกัส แน่นอนว่าเลนส์ซูมที่ด้านหน้าสามารถยืดออกและหดกลับได้อาจทำให้เกิดปัญหา เนื่องจากส่วนปลายของเลนส์อาจไปชนกับอะไรเข้าในขณะที่จับโฟกัส

    ดังนั้น เราจึงตัดสินใจใช้ตัวตามลูกเบี้ยว (ชิ้นส่วนที่ยึดท่อเลนส์ที่เคลื่อนที่ได้ให้อยู่กับที่) 6 ชิ้นในการขยับชิ้นเลนส์ด้านหน้าในท่อของเลนส์ F4 และใช้ตัวตามลูกเบี้ยว 12 ชิ้นในเลนส์ F2.8 จำนวนตัวตามลูกเบี้ยวที่ใช้คือสองเท่าของจำนวนที่ใช้กับท่อเลนส์ปกติ หลังลองทดสอบภายในบริษัทหลายครั้ง เราก็เปิดตัวเลนส์เหล่านี้ในฐานะ “เลนส์ 70-200 มม. ที่แท้จริงจาก Canon” ได้อย่างภาคภูมิใจ

    ให้ภาพคุณภาพสูง

    เลนส์เหล่านี้ให้คุณภาพของภาพที่ดีขึ้นมาก นอกจากเราจะสามารถยับยั้งการเกิดความคลาดทรงกลมที่กึ่งกลางภาพได้แล้ว คุณภาพของภาพในส่วนขอบยังเพิ่มขึ้นด้วยโดยการทำให้เกิดความคลาดสีและความโค้งของภาพน้อยลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้ระบบลอยตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้การออกแบบออพติคอลที่สามารถเปลี่ยนความยาวได้ยังช่วยให้ไม่ต้องใช้ทางยาวโฟกัสยาวกับการตั้งค่ามุมกว้างโดยไม่จำเป็น ทำให้การออกแบบมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น

    เลนส์ RF70-200mm f/2.8L IS USM มีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในการป้องกันไม่ให้ภาพได้รับแสงน้อยเกินไปในฉากที่ย้อนแสง ตัวอย่างเช่น ขณะถ่ายภาพรถไฟที่กำลังแล่นใกล้เข้ามา กล้องจะสามารถถ่ายภาพรถไฟทั้งขบวนได้อย่างชัดเจนแม้ในสถานการณ์ที่ไฟหน้าของรถไฟทำให้เกิดสภาพแสงที่เป็นปัญหา การพัฒนาการเคลือบกระจกแบบใหม่และเทคโนโลยีการจำลองที่ซับซ้อนก็มีส่วนช่วยในคุณสมบัตินี้เช่นกัน

    หลายปีที่ผ่านมา ชิ้นเลนส์ออพติคอลอื่นๆ มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น RF70-200mm f/2.8L IS USM เป็นเลนส์รุ่นแรกของ Canon ที่ใช้เลนส์ UD แก้ความคลาดทรงกลม แม้การอธิบายเหตุผลทางด้านเทคนิคจะเป็นเรื่องยาก แต่เลนส์นี้ก็ช่วยให้ความยาวโดยรวมของเลนส์ลดลงได้หลายมิลลิเมตร นอกจากนี้ จำนวนของชิ้นเลนส์ยังลดลงด้วย น้ำหนักของเลนส์จึงเบาลงมาก

    ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (IS)

    ประโยชน์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งของเลนส์ซีรีย์ RF คือรองรับ IS แบบประสานการควบคุมร่วมกับ IS ในบอดี้กล้อง เลนส์ F4 ไม่สว่างเท่าเลนส์ F2.8 ผู้ใช้จึงอาจจำเป็นต้องลดความเร็วชัตเตอร์ลงในบางสถานการณ์ ตัวอย่างเช่น ขณะถ่ายภาพโดยไม่ใช้ขาตั้งกล้องในเวลากลางคืน การใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำอาจส่งผลต่อคุณภาพของภาพได้

    อย่างไรก็ตาม IS แบบประสานการควบคุมสามารถแก้ไขภาพเบลอจากการสั่นของกล้องได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่าการเพิ่มความเร็วชัตเตอร์สูงสุดถึง 7.5 สต็อป การถ่ายภาพโดยไม่ใช้ขาตั้งจึงกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น คุณสมบัติเหล่านี้่รวมถึงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอื่นๆ ทำให้เลนส์ในซีรีย์ RF มีรูปแบบที่แตกต่างไปจากสมัยของเลนส์ EF อย่างชัดเจน ผมหวังว่าผู้ใช้เลนส์ Canon จะพิจารณาปัจจัยใหม่ๆ เหล่านี้ขณะเลือกซื้อเลนส์ในซีรีย์ RF

    สารถึงผู้ใช้

    เลนส์ 70-200 มม. จาก Canon มีชื่อเสียงในทางที่ดีมากอยู่แล้ว ในการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สำคัญ ผู้ผลิตอาจมีแนวโน้มที่จะไม่กล้าเสี่ยงและพยายามหลีกเลี่ยงเสียงวิจารณ์ด้วยการทำสิ่งต่างๆ ให้ใกล้เคียงกับของเดิม แต่คุณสามารถพูดได้เลยว่าจุดเด่นข้อหนึ่งของ Canon คือ เราพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างมั่นใจและกล้าที่จะลองใช้วิธีการใหม่ๆ

    ปกติแล้วการเปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐานของผลิตภัณฑ์จะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่เราคิดว่าเลนส์รุ่นนี้สามารถช่วยให้ผู้ใช้ถ่ายภาพออกมาได้หลากหลายสไตล์มากยิ่งขึ้น เราตั้งใจจะนำเอาความคิดเห็นของลูกค้ามาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต เราจึงหวังว่าผู้ใช้จะเล่าประสบการณ์การใช้งานของตนเองให้เราฟัง

    นักพัฒนาเลนส์ RF ทุกคนต่างเข้าใจดีโดยไม่ต้องพูดออกมาว่า การพัฒนาเลนส์ RF นั้นไม่สามารถทำได้โดยอาศัยเพียงการต่อยอดจากสิ่งที่เราเคยทำไว้ในสมัยของเลนส์ EF ในการทำงานแต่ละวัน เราจะพยายามทดลองใช้สิ่งใหม่ๆ หรือเลือกวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิมกับเลนส์ทุกรุ่นที่เราพัฒนา และเลนส์ 70-200 มม. รุ่นปัจจุบันก็เป็นตัวอย่างที่ดี ผมคิดว่าลูกค้าจะรู้สึกประหลาดใจในขนาดที่เล็กและการใช้งานที่ง่ายดายของเลนส์นี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่ใช้การออกแบบของเลนส์ RF