แคนนอนสร้างสถิติโลกใหม่ในการผลิตเลนส์ RF/EF ครบ 170 ล้านตัว
แคนนอน อิงค์ มีการประกาศว่า ในเดือนตุลาคม 2568 บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยยอดการผลิตสะสมของเลนส์ RF และ EF แบบถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้องในตระกูล EOS รวมกันทั้งหมด 170 ล้านตัว ซึ่งถือว่าแคนนอนได้สร้างปรากฎการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์และสถิติโลกใหม่[1] ในฐานะผู้ผลิตเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา
เลนส์ EF เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกในปี 2530 ในฐานะระบบเลนส์สำหรับรองรับกล้องฟิล์ม SLR เพื่อรองรับกล้องซีรีส์ EOS ที่มีระบบออโต้โฟกัส และเป็นการเปิดตัวพร้อมกับระบบ EOS นับตั้งแต่นั้นมา ต่อจากนั้นเลนส์ EF ก็ได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในโลกมากมาย[2] ซึ่งรวมถึงมอเตอร์อัลตร้าโซนิก (USM) เทคโนโลยีระบบป้องกันภาพสั่นไหว (IS) และชิ้นเลนส์กระจายแสงแบบหลายชั้น (DO) และยังดำเนินการการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาต่อเนื่องมาอย่างมากมาย
ในปี 2561 แคนนอนได้เปิดตัวเลนส์ซีรีส์ RF ซึ่งออกแบบมาสำหรับกล้องมิเรอร์เลสระบบ EOS R System ที่โดดเด่นด้วยคุณสมบัติรูรับแสงกว้าง ระยะห่างจากท้ายเลนส์ถึงเซ็นเซอร์ที่สั้น และระบบสื่อสารความเร็วสูง เพื่อการมอบคุณภาพของภาพที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้ ปัจจุบัน เลนส์ RF และ EF มีทั้งหมด 108 รุ่น[3] ครอบคลุมทางยาวโฟกัสที่หลากหลาย[4] ตั้งแต่มุมกว้างพิเศษ 10 มม. ไปจนถึงระดับซูเปอร์เทเลโฟโต้ 1200 มม. นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ในซีรีส์นี้ยังประกอบด้วย เลนส์ VR ตัวแรกของโลก[5] รวมถึงเลนส์ที่มีพาวเวอร์ซูมในตัวทเหมาะสำหรับการถ่ายวิดีโอ อีกทั้งยังรองรับอะแดปเตอร์พาวเวอร์ซูมซึ่งสนับสนุนการขยายขอบเขตทางความคิดสร้างสรรค์และตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ใช้สำหรับการถ่ายภาพและวิดีโอ
การผลิตเลนส์ EF ตัวแรก เริ่มต้นที่โรงงานอุตสึโนมิยะของแคนนอนในปี 2530 นับตั้งแต่นั้นมา ทั้งเลนส์ EF และ RF ล้วนได้รับความนิยมอย่างสูงจากผู้ใช้หลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใช้มือใหม่ไปจนถึงเหล่ามืออาชีพ อีกทั้งยังมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันแคนนอนมีโรงงานสำหรับผลิตเลนส์ทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ โรงงานอุตสึโนมิยะ บริษัท แคนนอน ไต้หวัน บริษัท แคนนอน ออปโต (มาเลเซีย) จำกัด บริษัทโออิตะ แคนนอน จำกัด และบริษัทมิยาซากิ แคนนอน จำกัด จากนั้น ในปี 2538 แคนนอนได้ประสบความสำเร็จในการผลิตเลนส์ 10 ล้านตัว ต่อมาในปี 2552 ก็มียอดการผลิตเลนส์สะสมได้เพิ่มขึ้นเป็น 50 ล้านตัว และในปี 2557 แคนนอนได้ก้าวขึ้นเป็นบริษัทแรกของโลกที่มียอดการผลิตเลนส์กล้องแบบถอดเปลี่ยนได้ถึง 100 ล้านตัว จนกระทั่งมาถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2568 แคนนอนสามารถสะสมยอดการผลิตเลนส์ได้ถึง 170 ล้านตัว ซึ่งเป็นการสร้างสถิติโลกใหม่ โดยเลนส์ตัวที่ 170 ล้านที่ผลิตคือ RF70-200mm f/2.8L IS USM Z
นับตั้งแต่ปี 2546 แคนนอนสามารถรักษาส่วนแบ่งอันดับหนึ่งของโลก[6] ในตลาดกล้องดิจิทัลแบบเปลี่ยนเลนส์ได้อย่างยาวนานถึง 22 ปีติดต่อกัน แต่ถึงกระนั้นแคนนอนจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะต่อไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งและขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เลนส์ของแคนนอน เพื่อเปิดโอกาสความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการถ่ายภาพ ซึ่งรวมถึงมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัฒนธรรมการถ่ายภาพและวิดีโออย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จอันโดดเด่นของการพัฒนาเลนส์ซีรีส์ RF และEF
เลนส์ EF ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับระบบกล้อง EOS ในเดือนมีนาคม 2530 ได้นำเทคโนโลยีชั้นนำของโลกมากมายมาใช้ รวมถึงเทคโนโลยีป้องกันภาพสั่นไหว (IS) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่มีอยู่ในตัวเลนส์ EF 75-300mm f/4-5.6 IS USM (วางจำหน่ายในปี 2538) ชิ้นเลนส์ออปติกแบบกระจายแสงหลายชั้น (DO) ที่ได้ถูกนำมาประกอบไว้ในเลนส์ EF 400mm f/4 DO IS USM (วางจำหน่ายในปี 2544) และเทคโนโลยีการเคลือบผิวเลนส์แบบ Subwavelength Structure Coating (SWC)[7] สำหรับเลนส์ EF 24mm f/1.4L II USM (วางจำหน่ายในปี 2551)
ในปี 2564 แคนนอนได้เปิดตัวระบบ EOS VR System ซึ่งเป็นระบบวิดีโอ VR สำหรับงานเสมือนจริงที่ใช้ร่วมกับกล้องมิเรอร์เลส[8] และซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ ระบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างวิดีโอ VR 3 มิติ 180° โดยใช้กล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ ต่อมาในปี 2567 แคนนอนได้เปิดตัวเลนส์ไฮบริดรุ่นใหม่ที่มีวงแหวนปรับม่านรับแสง (Iris Ring) ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการทั้งการถ่ายภาพนิ่งและการถ่ายทำวิดีโอระดับมืออาชีพ และมีการเปิดตัวเลนส์ RF24-105mm f/2.8L IS USM Z และ RF70-200mm f/2.8L IS USM Z ซึ่งรองรับอะแดปเตอร์พาวเวอร์ซูมสำหรับตลาดเลนส์ซูม นอกจากนี้แคนนอนยังได้เปิดตัวเลนส์ไพรม์ไฮบริด f/1.4L ซึ่งเป็นเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสคงที่ โดยทุกรุ่นมีขนาดและตำแหน่งของวงแหวนและปุ่มเป็นมาตรฐานเดียวกัน ในเดือนกันยายน 2568 ที่ผ่านมา แคนนอนได้เปิดตัวเลนส์ RF85mm f/1.4L VCM ซึ่งเป็นเลนส์ลำดับที่ 5 ในซีรีส์นี้ เพื่อแสดงถึงขีดความสามารถของแคนนอนในการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
* วันที่วางจำหน่ายในเอกสารนี้เป็นวันที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น
[1] รวมเลนส์และอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์ EF, EF-S, EF-M, EF Cinema, RF, RF-S และ RF Cinema ข้อมูล ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2568 (ตามผลสำรวจของแคนนอน)
[2] ในกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้อง SLR (ตามผลสำรวจขอแคนนอน)
[3] ยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ณ วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2568 (รวมอุปกรณ์ขยายระยะเลนส์) โดยรุ่นของเลนส์ที่วางจำหน่ายจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของตลาด
[4] ทางยาวโฟกัส มีตั้งแต่ 5.2 มม. ถึง 1200 มม.รวมเลนส์ VR
[5] เลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้องดิจิทัลที่สามารถถ่ายภาพ VR ได้ด้วยกล้องเพียงตัวเดียว ในบรรดากล้องดิจิทัลแบบถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ที่วางจำหน่าย ณ วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2564 (อ้างอิงจากการวิจัยของแคนนอน)
[6] อ้างอิงถึงส่วนแบ่งการตลาด (อ้างอิงจากการวิจัยของแคนนอน)
[7] การเคลือบผิวเลนส์แบบพิเศษที่ให้คุณสมบัติป้องกันแสงสะท้อนขั้นสูง
[8] สำหรับกล้องที่รองรับ โปรดดูที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของแคนนอน